รถใหม่จากยุโรปประจำเดือนมีนาคม 2014 ....

ความล้มเหลวจากการบริหารงานของรัฐบาล บวกกับสถานการณ์ความไม่สงบภายในประเทศ ที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง เริ่มส่งผลไปถึงยอดขายรถยนต์ทั่วประเทศ ที่หล่นลงมาถึง 43% โครงการรถคันแรกที่กลายเป็นการทิ้งใบจองหนีหายไม่ไปติดต่อรับรถที่สั่งจองไว้อีกเป็นจำนวนมาก รถที่ประกอบเสร็จจอดรอเจ้าของจนเริ่มจะเก่าจากการจอดตากแดดตากฝนมาเป็นเวลานาน

ไม่ต้องพูดถึงโครงการรับจำนำข้าวที่ล้มเหลวไม่เป็นท่า จากความผิดพลาดเชิงนโยบายแบบประชานิยมสุดกึ๋น ที่กำลังส่งผลไปถึงชาวนาและประชาชนโดยตรง ข้าวที่เก็บไว้จำนวนมากมายมหาศาลในโกดัง บางแห่งโดนมอดเจาะเข้าไปรับประทานจนป่นกลายเป็นผง ได้แต่หวังว่าทุกสิ่งทุกอย่างจะดีขึ้นแต่ดูๆ ไปแล้วเหมือนกับกำลังเดินลงเหว ยังไงยังงั้น แสงสว่างปลายอุโมงค์ที่จะเกิดขึ้น คงต้องหวังพึ่งตุลาการ ซึ่งเป็นองค์กรอิสระที่เหลืออยู่เท่านั้น

HYUNDAI i10
ค่ายรถจากแดนกิมจิ Hyundai ขยันส่งผลิตภัณฑ์ยานยนต์ ราคาไม่แพง ลงสู่ตลาดยุโรปอย่างต่อเนื่องแม้สภาพการณ์จะไม่ค่อยเป็นใจเท่าใดนัก Hyundai i10 คือ หนึ่งในรถใหม่ที่วางขายในตลาดที่คนนิยมของถูกแต่มีคุณภาพ i10 มาพร้อมกับเรือนร่างขนาดกะทัดรัดแบบ 5 ประตู ทุกสิ่งทุกอย่างถูกจัดวาง เพื่อให้คนส่วนใหญ่ที่เป็นคนเอเชียและยุโรป สามารถใช้งานได้จริง กระแสลดขนาดความจุเพื่อให้ผ่านค่ามลพิษในระดับ EURO-6 ซึ่งกำลังมีผลบังคับใช้ ทำให้เจ้าหนูกิมจิคันนี้ มีเครื่องยนต์หายไปหนึ่งสูบ เครื่องยนต์สามสูบในรุ่นประหยัดเป็นเครื่องที่มีความจุ 1.0 ลิตร

ส่วนรุ่นที่สูงขึ้นมาอีกนิดเป็นเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ ขนาด 1.25 ลิตร กลไกภายใน พวกวาล์วและลูกสูบได้รับการเคลือบสารเพื่อความคงทน ก้านสูบออกแบบให้มีการลดแรงต้าน ด้วยการออกแบบให้มีน้ำหนักเบา เครื่องยนต์สามสูบผลิตเรี่ยวแรงได้ 65 แรงม้า กับแรงบิด 93.5 นิวตันเมตรในรอบเครื่องยนต์ 4500 รอบต่อนาที อัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตร ใน 14.3 วินาที ความเร็วปลาย 154 กิโลเมตรต่อชั่วโมง กินเชื้อเพลิง 25 กิโลเมตรต่อลิตร แบบไม่ต้องปิดแอร์วิ่ง ขายแล้วในยุโรปเวลานี้

 

FORD MUSTAMG 2014
ม้าป่าสัญชาติอเมริกันคันล่าสุด จากบริษัท Ford นี่คือตัวเป็นๆ ของ Mustang รถสปอร์ตแนวจีทีเจ้าของเรือนร่างอภิมหาอมตะสุดดิบ สไตล์รถแรงเมืองมะกัน เมื่อดูให้ดีๆ จะพบเห็นความทันสมัยที่ด้านหน้าด้วยไฟหน้าและกระจังหน้าแบบ 2 ชั้น ไฟหน้าแบบ LED พร้อมไฟหรี่กลางวันตามสมัยนิยม ฝากระโปรงเล่นเหลี่ยมมุม เส้นสายเพื่อยกแสงเงาและมิติของทรงให้ดูอลังขึ้น ไฟท้ายยังคงทำได้โบราณเหมือนเดิม

รวมถึงภายในที่ยังคงมีการตกแต่งที่ด้อยกว่ารถสปอร์ตจากเยอรมันอย่างเห็นได้ชัด ทั้งวัสดุที่ใช้และการจัดวางเครื่องยนต์ V8 ขนาด 5.0 ลิตร สูบเชื้อเพลิงเบนซินแล้วกลั่นออกมาเป็นแรงม้าได้ที่ 420 ตัว ในรุ่นแพงสุด ส่วนรุ่นที่รองลงมาวางเครื่องยนต์ 4 สูบ ขนาด 2.5 ลิตร อัดอากาศด้วยเทอร์โบ มีเรี่ยวแรงพอเอาไว้ไล่อัดชาวบ้าน ที่ 305 แรงม้า ระบบอัดอากาศโยนเทอร์โบเก่าที่ล้าสมัยทิ้งไป แล้วหันมาเล่นกับเทอร์โบแบบ แปรผัน Twin scroll เครื่องยนต์ 2.3 ลิตรของ Ford ECO Boost ยกมาจาก Focus ST ตัวบ้าพลัง

ระบบส่งกำลังทั้งตัวแพงและตัวที่ถูกกว่ามีให้เลือกทั้งเกียร์ออโตและเกียร์ แมนนวล 6 สปีด อื่นๆ ที่ช่วยส่งให้เจ้าม้าป่าตัวนี้วิ่งได้ดีขึ้น คือ พวงมาลัยไฟฟ้าแบบใหม่ และช่วงล่างที่ถูกปรับปรุงให้มีประสิทธิภาพที่ดีขึ้น ไม่ทื่อมะลื่อเหมือนรุ่นคลาสสิก ที่บังคับควบคุมให้เลี้ยวได้ยากเต็มทน วางขายปีนี้ แต่ไม่เข้าไทยอย่างแน่นอน

 

FERRARI F12 BERLINETTE N-LARGO NOVITEC ROSSO 
F12 รุ่นตกแต่งพิเศษ โดยสำนัก Novotec มาในชุดแต่งตัวสุดแนวของซุปเปอร์คาร์สไตล์จีที เครื่องยนต์วางด้านหน้าขับ เคลื่อนล้อหลัง ชุดแอร์โรพาร์ตทั้งหมดผลิตจากคาร์บอนไฟเบอร์ น้ำหนักเบาหวิว ออกแบบตามหลักอากาศพลศาสตร์ เพื่อสร้างแรงกดให้กับ F12 มากยิ่งขึ้น ฝากระโปรงหน้าทั้งผืน ก็ยังทำจากคาร์บอน แทรคล้อหน้าถูกขยายออกไปด้านข้าง เพื่อเสริมแรงยึดเกาะ

กระจกมองข้างทั้งบาน มีกรอบทำจากคาร์บอนด้วยเช่นกัน ช่างเป็นรถที่บ้าคาร์บอนไฟเบอร์อย่างแท้จริง สัดส่วนท้ายรถมีแผ่นรีดอากาศแบบใหม่ ที่นอกจากจะเพิ่มความดุดิบแล้ว ยังช่วยในการจัดเรียงอากาศ ลดกระแสลมหมุนวนที่ส่วนท้ายให้ลดลง ล้ออัลลอยราคาแพงขนาดยักษ์ขอบ 21 นิ้วที่ด้านหน้า ส่วนด้านหลังเล่นกันถึง 22 นิ้ว แบบอมซุ้มกันไปเลย ยางล้อหน้าจาก Pirelli รุ่น P-Zero ขนาด 255/30ZR21 ส่วนล้อหลังซึ่งเป็นล้อขับเคลื่อนใส่ยาง Pirelli P-Zero ขนาด 335/25ZR22 ยางบางเจี๊ยบแก้มเตี้ยอย่างจัดคงขับได้ลำบากเต็มทน

ช่วงล่างเปลี่ยนสปริงใหม่ ทำให้ความสูงลดลงอีก 40 มิลลิเมตร ความเตี้ยต่ำติดดิน ยังเกิดขึ้นจากยางแก้มเตี้ยและโช้กอัพแบบปรับระดับได้อีกด้วย กำลัง 740 แรงม้าได้มาจากเครื่องยนต์ V12 6.3 ลิตร ที่ไม่มีระบบอัดอากาศตามสไตล์ของ Ferrari พอมาถึงการโมแบบเต็มขั้นของค่าย Novotec เครื่องยนต์ถูกจูนอัพจนได้แรงม้า 781 แรงม้า กับแรงบิด 722 นิวตันเมตร ความเร็วจากจุดหยุดนิ่ง ไปที่ 100 กิโลเมตร ทำได้ 3.0 วินาที ส่วนความเร็วปลาย ล่อกันไปจนถึง 335-350 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ขายแล้วในยุโรป

 

VOLKSWAGEN TWIN UP HYBRID
เจ้าตัวเล็กที่จิบเชื้อเพลิง 90 กิโลเมตรต่อลิตรคันนี้ กำลังเป็นรถยนต์ที่ถูกจับตามอง Twin Up มาในเรือนร่างที่เล็กแบบ City Car ทรงตัวถังแบบ 5 ประตู ออกแบบมาเพื่อการวิ่งทะลุไปในตรอก ซอก ซอยอันคับแคบของยุโรป มันเป็นรถท่ี่วิ่งโดยคำนึงถึงการใช้เชื้อเพลิงอย่างประหยัด (มาก) เป็นหลัก โครงสร้างแบบใหม่ ทำให้แซสซีส์มีความแข็งแรงอย่างไม่น่าเชื่อ เทคโนโลยีโลหะวิทยาสมัยใหม่กับการออกแบบผ่านคอมพิวเตอร์ ช่วยในการคำนวณให้รถมีประสิทธิภาพด้านความปลอดถัย แม้จะเป็นรถคันจิ๋ว แต่ทดสอบการชนผ่านมาตรฐาน EURO NCAP

เครื่องยนต์เล็กพริกขี้หนู ขนาดสองสูบดีเซล TDI จ่ายเชื้อเพลิงด้วยระบบคอมมอลเรลไดเรคอินเจคชั่น ให้กำลัง 48 แรงม้า กับแรงบิด 120 นิวตันเมตร ที่มาในรอบต่ำตามสไตล์เครื่ิองดีเซล ซึึ่งเหมาะมากกับการออกตัว วิ่งๆ จอดๆ ในเมือง เครื่องยนต์ดีเซลแบบสองกระบอกสูบ (อ่านไม่ผิดครับ) มีปริมาตรความจุ 0.8 ลิตร หรือ 800 ซีซี โดยใช้สูบและบล็อกเครื่องฝ่าครึ่งจากเครื่องสี่สูบ TDI วาล์ว EGR ทำให้เครื่องยนต์ตัวเล็กทำงานได้อย่างราบรื่น เต็มประสิทธิภาพ จากการเผาไหม้ที่หมดจด ในการหมุนวนไอเสียกลับมาเผาจนหมด

ในส่วนของพลังงานผสมแบบ Hybrid เจ้า Twin Up ยังมีมอเตอร์ไฟฟ้าเสริมแรง E-Motor ของระบบไฮบริด มอเตอร์มีพลัง 35 กิโลวัตต์ วางอยู่ในเกียร์แบบ DSG-7 สปีด มอเตอร์ที่อยู่ในเกียร์ส่งแรงบิดเสริมตรงไปยังล้อคู่หน้า พร้อมๆ ไปกับแรงบิด ที่ได้จากเครื่องสองสูบ รวมถึงการวิ่งในโหมดไฟฟ้าที่ใช้มอเตอร์เพียวๆ ไปได้ไกล 50 กิโลเมตร ก่อนที่เครื่องยนต์จะติดตัวเองอีกครั้ง เมื่อระบบประสานพลังงานตรวจ พบว่าแบตเตอรี่เหลือกำลังไฟน้อยและเข้าสู่การชาร์จในขณะที่กำลังขับเคลื่อนด้วยเจนเนอร์เรเตอร์ รถ VW Twin Up เร่งจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ใน 15.7 วินาที ความเร็วสูงสุดทำได้ถึง 140 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เมื่อทั้งสองระบบขับเคลื่อนทำงานไปพร้อมๆ กัน หากวิ่งด้วยมอเตอร์เพียวๆ มันจะทำความเร็วท็อปสปีด ได้ที่ 125 กิโลเมตรต่อชั่วโมง. 

ข้อมูลจากเว็บไซต์ http://www.thairath.co.th/